วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การเรียนรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) และการใช้อินเทอร์เน็ตเสริมสร้างการเรียนรู้

การเรียนรู้ดิจิทัล  (Digital Literacy)






            การเรียนรู้ดิจิทัล คือการผนวกกันของทักษะความรู้และความเข้าใจที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้เพื่อที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีความปลอดภัยในโลกยุคดิจิทัลมากขึ้น ทักษะความรู้และความเข้าใจนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ควรเป็นองค์ประกอบของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และควรจะผนึกผสานอยู่ในการเรียนการสอนของทุกรายวิชาทุกระดับชั้น




การเรียนรู้ดิจิทัล มีความสำคัญอย่างไร






        เทคโนโลยีให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในชนิดใหม่ของการเรียนรู้ ชุมชน สังคม และกิจกรรมการทำงานทุกคนจะต้องมีความรู้ดิจิทัลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสเหล่านี้ หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในขณะที่เยาวชนคนหนุ่มสาว รู้สึกมั่นใจเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงสมรรถนะหรือความสามารถที่แท้จริง ในด้านทักษะการคิดวิจารณญาณ เช่น ความตระหนักถึงกลยุทธ์ทางการค้าหรืออคติจากสื่อต่างๆตลอดจนความปลอดภัยในการใช้งานนอกจากนี้การเรียนรู้ดิจิทัลจะมีผลสำคัญต่อสังคมโดยรวม ต่อความเสมอภาคในการเข้าถึงข้อมูลการบริการและการจ้างงาน การเข้ากลุ่มทางสังคม และ
โอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติม ตลอดจนอาจส่งผลกระทบต่อการขยายโอกาสทางธุรกิจการพัฒนาการเรียนรู้ดิจิทัลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความรู้ความเข้าใจครูทุกคนสามารถนำเสนอมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องวิธีการที่เทคโนโลยีสามารถเพิ่มคุณค่าในการเรียนของผู้เรียนนอกจากนี้ยังช่วยให้ออนไลน์อย่างปลอดภัยหากผู้เรียนมีความสามารถในการตัดสินใจที่เหมาะสม




การเรียนรู้ดิจิทัลคืออะไร





            ‘การรู้’ (Literacy) ในแง่ดั้งเดิมหมายถึงความสามารถอ่านและเขียนในภาษาที่ใช้ร่วมกันของวัฒนธรรม ส่วนการรู้ดิจิทัล หมายถึงการอ่านและการเขียนข้อความดิจิทัล เช่น สามารถ อ่านเว็บไซต์โดยผ่านการเชื่อมโยงหลายมิติ และ การเขียนโดยการอัปโหลดภาพถ่ายดิจิทัลเพื่อเว็บไซต์เครือข่ายสังคมทักษะการทำงานที่จำเป็นในการดำเนินการและการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีและสื่อ นอกจากนี้ยังหมายถึงความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีและสื่อที่มีผลกระทบ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือความสามารถที่จะวิเคราะห์และประเมิน ความรู้ที่มีอยู่ในเว็บไซต์ การเรียนการสอนและการเรียนรู้ไม่สามารถตีกรอบอยู่ในกิจกรรมที่ใช้กระดาษและปากกาเท่านั้นซึ่งหมายความว่าผู้เรียนและครูผู้สอนจำเป็นต้องรู้สึกได้ว่า เทคโนโลยีสามารถนำมาใช้ในทุกวิชาและเข้าใจว่า เทคโนโลยีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสิ่งที่รู้ในเรื่องต่างๆ เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เราศึกษาค้นคว้า เช่น ภูมิศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ ระบบจีพีเอส เรื่องเล่าออนไลน์ แบบจำลองทางฟิสิกส์ และการใช้ทัศนภาพ โปรแกรมการทำแผนที่อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนภูมิศาสตร์การศึกษาวิทยาศาสตร์อาจรับรู้วิธีการโต้ตอบด้วยภาพการรู้ดิจิทัลในรายวิชาต่างๆ ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการสอนอย่างสิ้นเชิง ทักษะต่างๆที่เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นความรู้แบบดิจิทัลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งคำถามที่สำคัญ ทักษะของการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและการวิเคราะห์ความผูกพันของผู้เรียนกับเนื้อหาวิชา จะยังคงช่วยให้ครูหาวิธีการสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการรู้ดิจิทัลมีความหมายมากกว่าทักษะด้านเทคโนโลยีอย่างง่าย ความเข้าใจรวมถึงทักษะที่ซับซ้อนมากขึ้นขององค์ประกอบและการวิเคราะห์ ความสามารถในการสร้างความหลากหลายของเนื้อหาที่มีการใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ทักษะและความรู้ที่จะใช้ความหลากหลายของการใช้งานซอฟต์แวร์สื่อดิจิทัลและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความสามารถในการเข้าใจสื่อดิจิทัลเนื้อหาการใช้งานและความรู้ความสามารถในการสร้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 


         รู้ใช้ รู้เข้าใจ รู้สร้างสรรค์ เป็นคำที่แสดงลักษณะความรู้สามารถดิจิทัล

ใช้ (Use) แสดงถึงความคล่องแคล่วทางเทคนิคที่จำเป็นในการใช้กับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตชุดรูปแบบพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทักษะทางเทคนิคที่จำเป็น รวมถึงความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ
เว็บเบราเซอร์E-mail และการสื่อสารอื่นๆ เครื่องมือค้นหาและฐานข้อมูลออนไลน์

เข้าใจ (Understand) คือความสามารถที่จะเข้าใจบริบทที่เกี่ยวข้อง และประเมินสื่อดิจิทัลตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินผลที่สำคัญในการทำความเข้าใจดิจิทัลเนื้อหาของสื่อ และการประยุกต์ใช้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรูปร่างการเพิ่มหรือจัดการกับความรู้สึกความเชื่อของเราและความรู้สึกเกี่ยวกับโลกรอบตัวเราความเข้าใจความสำคัญของสื่อดิจิทัลที่ช่วยให้บุคคลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และลดความเสี่ยง การมีส่วนร่วมในสังคมเต็มรูปแบบดิจิทัล ทักษะชุดนี้ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะการจัดกาสารสนเทศและการแข็งค่าของสิทธิคนและความรับผิดชอบในการไปถึงทรัพย์สินทางปัญญา ในเศรษฐกิจความรู้ ชาวแคนาดาจำเป็นต้องรู้วิธีการหาประเมินผลและมีประสิทธิภาพใช้ข้อมูลเพื่อการสื่อสารการทำงานร่วมกันและแก้ปัญหาในชีวิตส่วนตัวและเป็นมืออาชีพของพวกเขา

สร้างสรรค์ (Create) ความสามารถในการสร้างเนื้อหาและมีประสิทธิภาพ การติดต่อสื่อสารโดยใช้ความหลากหลายของสื่อดิจิทัลเป็นเครื่องมือ การสร้างสื่อดิจิทัลมีความหมายมากกว่าความสามารถในการใช้โปรแกรมประมวลผลหรือเขียนอีเมล์ รวมถึงความสามารถในการปรับการสื่อสารกับสถานการณ์และผู้รับสารการสร้างและติดต่อสื่อสารโดยใช้สื่อผสม เช่น ภาพวีดิโอและเสียงประกอบอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ ประกอบกับเนื้อหาเว็บไซต์ที่ผู้เรียนสร้าง เช่นบล็อกและเวทีสนทนา วีดิโอแลภาพถ่ายร่วมกัน เล่นเกมทางสังคม และรูปแบบอื่นๆ ของสื่อสังคม แนวคิดนี้ยังตระหนักถึงสิ่งที่เป็นความรู้ในโลกดิจิทัลที่ไม่เพียงแต่สร้างความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงจริยธรรม การปฏิบัติทางสังคมและการสะท้อนสิ่งที่ฝังอยู่ในการเรียนรู้ การใช้เวลาว่าง และการใช้ชีวิตประจำวัน



 การเรียนรู้แบบดิจิตอลมีผลกระทบอย่างไร


           การเรียนรู้แบบดิจิตอลมีผลกระทบต่อการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ รูปแบบการนาเสนอเนื้อหา และพฤติกรรมของผู้อ่าน อันเนื่องจากลักษณะที่ทางกายภาพเปลี่ยนไปของหนังสือแบบเดิมไปสู่เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอล  ดังนั้นการใช้เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลผู้เรียนต้องมีการปรับตัวให้สามารถใช้เนื้อหาแบบนี้ได้ และผู้เรียน จึงต้องมีการศึกษาความเชื่อมั่นของผู้เรียนต่อการใช้งานรูปแบบของสื่อ ที่นาเสนอเนื้อหาในรูปแบบดิจิตอล เพื่อนาไปพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพต่อไป เนื่องจากมีการใช้เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลมากขึ้น ทาให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ทาให้หนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษมียอดขายที่ลดลง สานักพิมพ์ต่างๆจึงหันไปผลิตในรูปสิ่งพิมพ์ดิจิตอลมากขึ้น


 .....................................................................








การใช้อินเทอร์เน็ต
เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้





           เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology หรือ ICT) คือ การผสานเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ครอบคลุมระบบสื่อสาร ได้แก่วิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร โทรศัพท์ เครื่องมือการสื่อสารอื่นๆ กับระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และบริการสารสนเทศ ตลอดจนระบบเครือข่ายโทรคมนาคมจำนวนมากที่เชื่อมโยงติดต่อกันและใช้ร่วมกันได้


เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา
           คือ การนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยการนำระบบเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เช่น ระบบโทรศัพท์ ระบบโทรทัศน์ เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่ตอบโต้กับผู้ใช้ ประกอบกับการใช้แหล่งความรู้ที่หลากหลายจะทำให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามความสนใจ นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังมีศักยภาพในการลดข้อจำกัดด้านเวลาและระยะทาง ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

วิธีการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้
          อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่าย ICT ที่เชื่อมโยงแผ่ขยายครอบคลุมทั่วโลก เป็นทั้งสิ่งแวดล้อมและเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน กระทำได้สองลักษณะดังนี้

 แนวทางการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในด้านนักเรียน
          นักเรียนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัยการเข้าร่วมกิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์ การเข้าร่วมโครงงานบนเว็บ หรือสร้างสรรค์ผลงานเผยแพร่
1) การศึกษาค้นคว้า
          นักเรียนจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการสืบค้น ศึกษาวิจัยและจัดทำรายงานเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งทรัพยากร เพื่อการค้นคว้ามีมากมายซึ่งอาจจัดประเภทง่ายๆ ดังนี้
ห้องสมุดและแหล่งอ้างอิงทางการศึกษา
แหล่งทัศนศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์
เอกสารตำราเรียน
ข้อมูลพื้นฐานและเหตุการณ์ปัจจุบัน
การติดต่อผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญ มีแหล่งข้อมูลที่ให้บริการตอบคำถาม
2) กิจกรรมเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interactive Activities)
          มีเว็บไซต์จำนวนมากที่เปิดให้มีกิจกรรมแบบโต้ตอบได้ระหว่างเว็บไซต์กับผู้ใช้ เช่น โปรแกรมสนทนาเกมออนไลน์ ที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับผู้เรียนอาจจำแนกเว็บไซต์จำพวกนี้ได้ดังนี้
● สถานการณ์จำลอง (Simulations)  เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลแบบมัลติมีเดีย  มีการเคลื่อนไหวทั้งภาพและเสียง และผู้เรียนสามารถตอบโต้ได้ เช่น ห้องทดลองเสมือนจริงในวิชาต่างๆ  (Virtual Lab)
● บทเรียนและแบบทดสอบ เป็นเว็บไซต์ประเภทบทเรียนหรือแบบฝึกออนไลน์ ซึ่งมีหลายสาขาวิชา รวมทั้งแบบทดสอบ ออนไลน์ที่มีทั้งการวัดผลสัมฤทธิ์ วัดความรู้ความสามารถวัดบุคลิกภาพและสติปัญญา
นิทรรศการบนเว็บ
3) โครงงานบนเว็บ (Web-Based Project)
         ได้มีการจัดทำโครงงานในชั้นเรียนทั้งระยะสั้นและระยะยาวเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ซึ่งนักเรียนจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้จำนวนมาก และสามารถผนวกหรือจัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรเกี่ยวกับแหล่งรวบรวมโครงงานที่สำคัญ
4) การสร้างสรรค์งาน
          นักเรียนที่เป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือครูที่ดำเนินการร่วมกับนักเรียนสามารถสร้างหรือจัดทำเนื้อหาสาระเป็นเว็บไซต์เผยแพร่แก่สาธารณชนได้มีเว็บไซต์ลักษณะนี้หลายประเภท ได้แก่
วารสาร หนังสือพิมพ์ของนักเรียน
ผลงาน นิทรรศการด้านศิลปะ และวรรณกรรม
ผลงานการศึกษาค้นคว้าเรื่องต่างๆ
การท่องเที่ยวเสมือนจริง (Virtual Tours)
การสะสม (Collections)
การสร้างโฮมเพจ
การจัดทำ web log
ฯลฯ


แนวทางการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในด้านของครู
          ครูสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้หลายวิธี เช่นเดียวกับที่นักเรียนใช้ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนครูและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก การค้นหาแหล่งสื่อวัสดุ อุปกรณ์ แผนการสอนในวิชาที่ตนรับผิดชอบรวมถึงการจัดทำ จัดสร้าง สื่อนวัตกรรม กิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักเรียนและเผยแพร่แก่ครูหรือบุคคลทั่วไป
1) การติดต่อสื่อสาร
          ครูสามารถใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มครูหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาการที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่หรือตามความสนใจ โดยใช้ E-mail หรือ List serve ตลอดจนสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรวิชาชีพ หรือกลุ่มสนใจใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งมีให้บริการหลายเว็บไซต์ เช่น GlobalSchool house, 21th Century Teachers.Net
2) การค้นคว้าวิจัย
          ครูสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ สืบค้น ค้นคว้า วิจัย เพื่อการเตรียมการสอน การจัดหา
สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน โดยทั่วไปเว็บไซต์ลักษณะนี้อาจจำแนกประเภทได้เป็น
แผนการสอน
สารสนเทศและข้อมูลความรู้สำหรับชั้นเรียน
แนวคิดและเทคนิคการจัดการเรียนการสอน
เว็บไซต์ทางการศึกษา
เว็บไซต์เฉพาะวิชา
เว็บไซต์อ้างอิงและห้องสมุด
แหล่งทรัพยากรทางการศึกษา
เว็บไซต์รวมผลงานวิจัย
3) การสร้างงาน
          ครูสามารถใช้อินเทอร์เน็ตสร้างเว็บไซต์เพื่อการจัดการเรียนการสอนของตนเอง นอกจากนี้ครูยัง
ใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เผยแพร่ผลงานแนวคิดกับเพื่อนร่วมวิชาชีพและผู้สนใจทั่วไป เช่น การใช้โปรแกรมการสื่อสาร การใช้ Blog เป็นต้น อินเทอร์เน็ตได้ก่อให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาทางไกล ในด้านสถาบันการศึกษาดิจิทัล (Digital  Academy) โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทำให้ระยะทางไม่มีความสำคัญ นวัตกรรมดังกล่าวจึงนิยมเรียกกันว่า “E-learning” (การเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์) หรือ
“E-school” (โรงเรียนอิเล็กทรอนิกส์) เป็นรูปแบบการศึกษาที่เป็น โรงเรียนเสมือนจริง” (Virtual School) ที่ครู ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้และโต้ตอบกันได้ (Interactivity) มีรูปแบบโดยทั่วไป คือ
1. การสมัครและลงทะเบียนเข้าเรียน
2. การเรียกค้น ดาวน์โหลด หลักสูตร เนื้อหาสาระทางวิชาการ สื่อการเรียนการสอน ทั้งที่เป็นตำราและมัลติมีเดีย
3. การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งสื่อเอกสารที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน การส่งงานรายงาน การบ้าน ตลอดจนการซักถามระหว่างผู้เรียนและผู้สอนและระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
4. การใช้ป้ายประกาศ (Web Board/Bulletin Board) เพื่อถาม-ตอบ หรือแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนข้อมูลตามประเด็นที่สนใจศึกษา
5. การค้นคว้า วิจัยจากคลังข้อมูล (Archives)และห้องสมุดดิจิทัล
6. การติวความรู้แบบตอบโต้ผ่านเว็บ (Interactive Tutorials on the Web)
7. การสอนหรือฝึกอบรมผ่านเว็บไซต์บนเครือข่าย (E-trainning)
8. การศึกษาทดลองในรูปแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation) และห้องทดลองดิจิทัล (Digital
Laboratory)
9. การประชุมสนทนาทางไกล
10. การทดสอบวัดประเมินผล 









.....................................................................







ตัวอย่างแนวทางการใช้ 

Digital Devices in Classroom 

     ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการนำเสนอ เนื้อหาเปลี่ยนไป จากหนังสือทั่วไปที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษไปสู่เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอล ซึ่งมีคุณลักษณะที่ต่างจากหนังสือทั่วไปเมื่อรูปแบบของหนังสือเปลี่ยนไปทั้งโครงสร้างและองค์ประกอบวิธีกาเปลี่ยนแปลงเนื้อหาจากหนังสือทั่วไปเป็นเนื้อหาแบบดิจิตอล นั้นจึงมีความสำคัญเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเนื้อหาและการนำเสนอ เนื้อหาเรียนรู้แบบดิจิตอลแต่ละประเภทมี จุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน เพราะว่าเนื้อหาเรียนรู้แบบดิจิตอลมีจุดเด่นหลายประการจึงทำให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และยังเป็นผลเนื่องจากการแพร่หลายของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนการเลือกใช้เนื้อหาเรียนรู้ แบบดิจิตอลประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับเนื้อหา รูปแบบการนำเสนอและองค์ประกอบอื่นๆเป็นสำคัญ เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการศึกษา โดยหนังสือทั่วไปจะลดบทบาทลงโดยเฉพาะเนื้อหา ด้านคอมพิวเตอร์ และวิทยาการต่างๆ เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลจะทำให้ผู้ที่สนใจในเนื้อหาต่างๆได้มีความรู้จาก เนื้อหานั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนในสถานศึกษา ในอนาคตเนื้อหาเรียนรู้แบบดิจิตอลจะมีการพัฒนาและการคิดค้น รูปแบบใหม่ๆ เพื่อทำให้มีความสะดวกในการอ่านและทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจมากขึ้น

         ตั้งแต่อดีตหนังสือเป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทำให้ หนังสือได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแฟ้มข้อมูลซึ่งอยู่ใน รูปแบบเอกสารที่เป็นดิจิตอล เนื้อหาการเรียนรู้แบบ ดิจิตอลมีทั้งแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์ เนื้อหาการ เรียนรู้แบบดิจิตอลแบบออนไลน์ได้แก่ การใช้เครือข่าย คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการถ่ายทอด เนื้อหา ที่รู้จักกันดีคือการเรียนการสอนผ่านเว็บ (WebBased Instruction,WBI)  การเข้าถึงเนื้อหาทำได้ด้วย การใช้เว็บบราวเซอร์ หรือโปรแกรมเฉพาะ เปิดไปยังเว็บไซต์ที่มีเนื้อหา องค์ประกอบของเนื้อหาที่นำเสนอ ประกอบด้วย ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลอีกแบบ หนึ่งคือเนื้อหาดิจิตอลแบบออฟไลน์ เป็นเอกสารที่เก็บ เป็นแฟ้มข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื้อหาแบบนี้ เรียกว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Book, EBook)  ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเนื้อหาด้วยการอ่านผ่าน อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบต่างๆ เช่น เครื่อง คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Ebook reader) ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ต หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีหลายประเภทและรูปแบบได้แก่ PDF ePUB DJVU HTML เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทนี้ก็มีคุณลักษณะแตกต่าง กัน บางประเภทมีเพียงตัวอักษรและภาพเท่านั้น ในขณะ ที่บางประเภทมี เสียง ภาพเคลื่อนไหว และสามารถ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่านได้ การที่เนื้อหาการเรียนรู้แบบ ดิจิตอลจะเป็นประเภทใดนั้น ขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาเป็น ผู้จัดทำความเหมาะสมในการใช้งานและยังขึ้นอยู่กับ ความต้องการของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน 





            คอมพิวเตอร์ (Computerคือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง 

สรุป คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อช่วยให้

การทำงานเอกสารที่ซ้ำๆ ได้อย่างรวดเร็ว 

การคำนวณตัวเลข ถูกต้อง แม่นยำ

สามารถเก็บข้อมูล ปรับปรุงแก้ไข ได้โดยง่าย 
การจัดเก็บข้อมูลให้เป็นฐานข้อมูล  แล้วสืบค้นได้
การติดต่อสื่อสาร เพื่อสืบค้นข้อมูล เพื่อบันเทิง





            คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค  (Notebook) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมาก บางทีเรียกขนาดสมุดโน้ต หรือขนาดพกพา เพราะสามารถพกพาติดตัวไปไหน ๆ ได้สะดวก ใช้ได้ทั้งกับไฟบ้านและแบตเตอรี่ น้ำหนักไม่ถึง 1 กิโล กรัม

การทำงานของคอมพิวเตอร์            คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ  โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ  Input  Process และ output   ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ


 

ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)
          เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น   ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง   ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ   หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)
          เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น


ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)

          เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้   โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้


การใช้เบื้องต้น
          1.  การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
               1.  เสียบปลั๊กไฟทุกเส้นที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ (สำหรับคอมพิวเตอร์)

               2.  กดปุ่ม  Power  เพื่อเปิดเครื่อง  จะมีไฟติดที่เครื่องและแป้นพิมพ์

               3.  เปิดสวิตช์จอภาพ  จะมีตัวอักษรขึ้นบนจอภาพ  และเริ่มเข้าสู่โปรแกรม
               4.  ใช้เมาส์คลิกที่ปุ่ม Start  จะปรากฏกลุ่มงานให้เลือกใช้
               5.  ใช้เมาส์คลิกที่โปรแกรม (Programs)  จะปรากฏแถบรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ให้เลือก
               6.  คลิกชื่อโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน  โปรแกรมงานก็จะถูกเปิดขึ้นทันที

          2.  การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
               1.  คลิกที่ปุ่มปิดโปรแกรม (Close) X

               2.  คลิกที่ปุ่ม Start

               3.  เลือก Shut down
               4.  เลือกตัวเลือกที่ต้องการ
               5.  เลือกปุ่ม OK  แล้วเครื่องจะถูกปิดลง


การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)
               โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)  เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น  จดหมาย  รายงาน  ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง  ตกแต่งสีและจัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม  และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว

               การเรียกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้

               1.  คลิกปุ่ม Start  ไปที่ Programs

               2.  คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word  จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word
               การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  เพื่อพิมพ์เอกสาร  สามารถปฏิบัติดังนี้

               1.  เลือกแบบตัวอักษร  และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ

               2.  พิมพ์ข้อความตามต้องการ
               3.  การแก้ไขข้อความ
                    ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้  ดังนี้
                    -  เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร  เคอร์เซอร์ (Cursor)  จะเปลี่ยนเป็น I  (I-beam)
                    -  นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข  และทำการแก้ไข  ดังนี้
                    การแทรกข้อความ  มีขั้นตอนดังนี้
                    1)  ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก
                    2)  พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป
                    การลบตัวอักษรและข้อความ  มีขั้นตอนดังนี้
                    1)  ลบตัวอักษรทีละตัว  ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลังอักษร  แล้วกดปุ่ม Backspace
                    2)  ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้  แล้วลากไปที่ข้อความที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ  แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete

          4.  การพิมพ์เอกสารในกระดาษ  มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
                    1)  คลิกที่เมนู File  เลือกคำสั่งพิมพ์  จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น

                    2)  กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้

                    3)  เลือกส่วนของระยะหน้า  เช่น
                         -  พิมพ์ทั้งหมด  เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม
                         -  หน้าปัจจุบัน  เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่
                         -  หน้า  ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์  เช่น  1-5, 8-10
                    4)  เลือกจำนวนชุด  ตอบเป็นชุด  แล้วคลิกปุ่มตกลง

          5.  การจัดเก็บเอกสาร  มีขั้นตอนดังนี้
                    1)  เลือกเมนู File  แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As  จะปรากฏหน้าต่าง Save As  ขึ้น

                    2)  เลือกที่สำหรับจัดเก็บ

                    3)  ตั้งชื่อไฟล์
                    4)  คลิก Save

          6.  การปิดเอกสารและออกจากโปรแกรม
                    1)  ถ้าปิดเอกสาร  ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของเอกสารนั้น

                         ถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่  ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes)  ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No)  แต่ถ้าต้องการยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ยกเลิก (Cancel)

                    2)  การออกจากโปรแกรม  มีขั้นตอนดังนี้
                         (1)  คลิกที่เมนู File
                         (2)  เลือกที่ Exit  หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม

การใช้ Digital Devices in Classroom จากคอมพิวเตอร์


                สำหรับครูผู้สอน

-ใช้เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับรายวิชา และนักเรียนได้

-ใช้เพื่อสร้างสื่อในการเรียนการสอน เพื่อมานำเสนอในห้องเรียน ให้มีความน่าสนใจมากกว่าการอ่านหนังสือตามตำรา

-ใช้ประยุกต์กับอินเทอร์เน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูล ข่าวสารที่ทันสมัย เพื่อนำมาพัฒนาการเรียนการสอนได้

-ใช้ในการสร้างแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ ทั้งในและนอกห้องเรียน

-ใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลากหลายขึ้น ไม่เฉพาะทางด้านการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนเท่านั้น

-ใช้ได้ทั้งการประกอบการเรียนการสอนและการทำกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆได้

-ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร กับนักเรียน เพื่อให้คำปรึกษา หรือตอบคำถามข้อสงสัยของผู้เรียนได้

-ใช้คอมพิวเตอร์เปิดโอกาสให้นักเรียนได้สืบค้นหาข้อมูลความรู้ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทางในการใช้งานที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน


                สำหรับนักเรียน

-สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาความรู้ที่อยู่นอกห้องเรียนและทำการศึกษาได้ด้วยตนเอง

-สร้างผลงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ได้

-นำเสนอผลงานผ่านคอมพิวเตอร์ ทำให้ประหยัดเวลา สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย

-ใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนหรือถามข้อสงสัยกับคุณครูได้


     


สรุป
     ในอนาคตเนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลจะเข้ามา แทนที่และบทบาทในการศึกษา หนังสือทั่วไปจะกลายเป็นเอกสารประกอบในเนื้อหารายวิชาที่เป็นทฤษฏีพื้นฐาน เพราะเนื้อหาไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับเนื้อหารายวิชาที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่นเนื้อหาด้าน คอมพิวเตอร์ และวิทยาการต่างๆ เนื้อหาการเรียนรู้แบบ ดิจิตอลจะเข้ามาแทนที่ได้เพราะสามารถแก้ไขเนื้อหาภาย ได้สะดวก อีกทั้งขั้นตอนการผลิตหนังสือทั่วไปจะใช้ เวลานาน เนื้อหาการเรียนรู้แบบดิจิตอลจะทำให้ผู้ที่สนใจ ในเนื้อหาต่างๆได้มีความรู้จากเนื้อหานั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนในสถานศึกษา อนาคตของเนื้อหาการ เรียนรู้แบบดิจิตอลไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้อ่านเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการพัฒนา และการคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ เพื่อทำให้มีความสะดวกในการอ่านให้มากขึ้น และทำให้เนื้อหามี ความน่าสนใจมากขึ้นนอกจากนั้นแล้วเนื้อหาการเรียนรู้ แบบดิจิตอลจะเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาด สิ่งพิมพ์เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นต้น จะถูกผลิตมาในรูปแบบที่เป็นแบบดิจิตอลมากขึ้นในอนาคต 



อ้างอิง

สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2553).

เรียนรู้ดิจิทัลเทคโนโลยีโรงเรียนมาตรฐานสากล. สืบค้นจ

https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=1&cad=rja&uact=8&ved=0CBsQFjAAahUKEwjOo9bu-fLIAhUD4KYKHVwxDwo&url=http%3A%2F%2Fwww.ppk.ac.th%2Fnewweb%2Fdigital_E-book.pdf&usg=AFQjCNF-j7ZS9iDUQt03EFk1lPN6nwCovw&sig2=K1sLavFGQzCs_NgZI_qVJw&bvm=bv.106379543,d.dGY
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น